Supergaming

pizza company

pizza company 01

pizza company ในปัจจุบันนั้น พิซซ่าก็ถือได้ว่า เป็นอาหารคลาสสิค ที่ไม่น่าเชื่อว่าคนไทย ได้ให้ความนิยมสูงมาก และอาจจะเป็นเพราะ ด้วยการได้รับเอา วัฒนธรรมตะวันตกเข้ามา ทำให้ก่อให้เกิดความนิยม มากจนถึงขนาดที่ว่า ตลาดพิซซ่าในเมืองไทย ต้องมีการแย่งส่วนแบ่งการตลาดกันเกิดขึ้น โดยเฉพาะกับ 2 แบรนด์ใหญ่อย่าง Pizza Hut และ ThePizzaCompany

The Pizza Company

ซึ่งเป็นที่แน่นอนว่าทั้ง 2 แบรนด์ เราต่างก็คุ้นเคยกันดีอยู่แล้ว แต่ดูเหมือนว่า ThePizza Company จะเป็นที่นิยม ดูคุ้นหูคุ้นตาเรามากกว่า ซึ่งในขณะเดียวกัน ที่ชื่อของ Pizza Hut อาจจะอยู่ในความทรงจำ ของเรามากกว่าเช่นกัน ซึ่งเส้นทางของ 2 แบรนด์ใหญ่นี้มีที่มาเชิงธุรกิจที่น่าสนใจพอดู

pizza company 02

1.เริ่มต้นจาก Pizza Hut สู่ The Pizza Company

สามารถใช้คำว่าจาก “มิตรกลายเป็นคู่แข่ง” ได้เต็มปากเต็มคำ ย้อนไปประมาณ 37 ปีก่อน “มร.วิลเลียม อี ไฮเน็ค” นักธุรกิจเชื้อชาติอเมริกัน สัญชาติไทย ผู้ก่อตั้งอาณาจักร “กลุ่มบริษัทไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล” (Minor International) ได้สิทธิ์มาสเตอร์ แฟรนไชส์แบรนด์ “Pizza Hut” ในประเทศไทยจาก “Tricon Global Restaurants” ผลปรากฏว่า “Pizza Hut” ได้การตอบรับเป็นอย่างดีจากผู้บริโภคชาวไทย ทำให้กลุ่มไมเนอร์ เดินหน้าขยายสาขาต่อเนื่อง

แต่แล้วจากธุรกิจที่โตวันโตคืน มีอนาคตสดใส กลับต้องสะดุดลงครั้งใหญ่! เมื่อ “Tricon Global Restaurants” ต้องการเอาแบรนด์ “Pizza Hut” กลับไปทำเอง โดยจุดชนวนสายสัมพันธ์ร้าวเกิดขึ้นในปี 2542 เมื่อ “Tricon Global Restaurants” ประกาศชัดเจนว่าจะดำเนินธุรกิจและขยายกิจการ Pizza Hut ในไทยด้วยตนเอง ก่อนที่สัญญามาสเตอร์ แฟรนไชส์ที่ให้กับ “กลุ่มไมเนอร์” จะสิ้นสุดลงในปี 2543

เหตุการณ์ดังกล่าวได้ปิดฉากสัมพันธ์ที่มีมายาวนาน พร้อมๆ กับเป็นปฐมบทเริ่มต้นสงครามการแข่งขันระหว่างสองเชนร้านพิซซ่ารายใหญ่ในไทย ระหว่าง Pizza Hut ของ Yum! Brands Inc. (เปลี่ยนชื่อมาจาก Tricon Global Restaurants) และ ThePizza Company ของฝั่ง Minor

2.The Pizza Company เปิดตัวครั้งแรกในปี 2544

หลังจากแยกทางเดินกับ Pizza Hut ฝั่ง Minor ตัดสินใจเปิดแบรนด์ร้านพิซซ่าของตัวเองในนาม The Pizza Company ในปี 2544 เรียกว่าเป็นการปลดป้ายเก่าของ Pizza Hut ออกและขึ้นป้ายใหม่เพราะผลการตัดสินจากการฟ้องร้องนั้น

สรุปว่าสาขาที่มีในขณะนั้นประมาณ 80 สาขาจากการบริหารร่วมกันเป็นทรัพย์สินของทาง Minor ส่งผลให้ Pizza Hut ต้องไปเริ่มสร้างสาขาแรกของตัวเองเช่นกัน

3.สร้างกระแสเปิดตัวด้วย คาราวานพิซซ่ากว่า 1,000 คัน

หนึ่งในกลยุทธ์เพื่อเปิดตัวแบรนด์ ThePizza Company ให้คนรู้จักและจดจำอย่างรวดเร็ว นอกจากการแถลงข่าวและงานเปิดตัวภายในองค์กรอย่างยิ่งใหญ่ มร.วิลเลียม อี. ไฮเนคกี้

และทีมผู้บริหาร ยังได้ปล่อยตัวคาราวานพนักงานส่งพิซซ่ากว่า 1,000 คัน ขี่วนรอบย่านสยามสแควร์ บริเวณแยกปทุมวัน ไปจนถึงถนนพระราม 1 เพื่อสร้างกระแส Talk of the town ถึงการเริ่มต้นพิซซ่าแบรนด์ใหม่

4.ผู้บุกเบิกแคมเปญ “ซื้อ 1 แถม 1”

เราจะเห็นว่าร้านพิซซ่าปัจจุบันมีแคมเปญ pizza company 1 แถม 1 ซื้อ 1 แถม 1 แทบจะทุกที่ แต่ถ้าพูดถึงผู้บุกเบิกแคมเปญนี้ต้องยกให้ The PizzaCompany ซึ่งจะจัด ขึ้นเป็นประจำทุกปีในช่วงเดือนมีนาคม กระทั่งทุกวันนี้กลายเป็น Signature Campaign ที่อยู่คู่กับแบรนด์ pizza company โปร และเป็นกลยุทธ์สร้างการเติบโตให้กับยอดขาย

อีกทั้งเป็นการสร้างเกมการแข่งขันใหม่ในตลาดพิซซ่าเมื่อกว่า 10 ปีที่แล้ว ที่ทำให้คู่แข่งในธุรกิจเดียวกันต้องเดินตามและจากแคมเปญดังกล่าวทำให้ยอดขายเพิ่มขึ้น 20% ทุกปี หรือเดือนเดียวสร้างยอดขายได้ไม่ต่ำกว่า 350 ล้านบาท

5.มีสาขามากกว่า 330 แห่งใน 67 จังหวัด

ThePizzaCompany ให้ความสำคัญกับการขยายสาขาเพราะเชื่อมั่นว่าคือหัวใจสำเร็จของธุรกิจนี้ที่ยิ่งมีสาขามากเท่าไหร่ ยิ่งสามารถเข้าถึงผู้บริโภคได้มากขึ้น

ปัจจุบัน “The PizzaCompany” มีสาขา 330 สาขา ใน 67 จังหวัด และขยายกิจการไปยังตลาดต่างประเทศ หลักๆ อยู่ที่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และตะวันออกกลาง รวมแล้ว 8 ประเทศ ซึ่งอัตราการขยายสาขาในประเทศ อยู่ที่ไม่ต่ำกว่า 10 สาขาต่อปี

6.รูปแบบการขยายสาขาของ ThePizza Company

การขยายสาขา the.pizza company ในไทย แบ่งเป็น 3 รูปแบบ ได้แก่

  •     Full Service Restaurant ที่พัฒนาคอนเซ็ปต์ให้เป็น Dining Experience
  •     Delco หรือ สาขาย่อย สำหรับรองรับบริการ Delivery โดยใช้อาคารพาณิชย์ที่อยู่ตามชุมชนต่างๆ ออกแบบเป็นสาขาลักษณะนี้
  •     Delco พร้อมมีที่นั่งรับประทาน เน้นขยายเข้าไปตาม Community Mall และอาคารสำนักงาน เพื่อรองรับทั้งบริการ Delivery และสำหรับลูกค้าที่อยากนั่งรับประทานที่ร้านได้เลย

7.Pizza Hut คือผู้นำระดับโลกแต่ในเมืองไทย The PizzaCompany คือเบอร์หนึ่ง

ตัวเลขของ Pizza Hut เรื่องจำนวนสาขาทั่วโลกมีกว่า 10,700 แห่งใน 90 ประเทศทั่วโลก แต่ในประเทศไทย Pizza Hut มีสาขาประมาณ 100 แห่งน้อยกว่าของ The Pizza ompany ที่มีกว่า 330 แห่ง

อีกทั้งความนิยมและยอดขายในเมืองไทยของ pizzacompany หน้าใหม่ ก็สูงกว่าของ Pizza Hut ดังนั้นเรื่องส่วนแบ่งการตลาดพิซซ่าในเมืองไทยจึงยกให้ The PizzaCompany คือผู้นำอันดับหนึ่ง

8.การต่อสู้แบบ Delivery

เราต่างคุ้นเคยกับเบอร์สั่งพิซซ่าแบบด่วนๆเริ่มจาก ของ Pizza Hut ที่ใช้ 1150 ส่วนของ The PizzaCompany ใช้เบอร์ 1112 ซึ่งจะว่าไปแล้ว เบอร์ 1112 ของ The PizzaCompany นั้น

ได้รับความนิยมมากกว่ามียอดการใช้จ่ายเฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 400 บาท/ครั้ง และมีสัดส่วนการใช้บริการเพิ่มขึ้นในทุกปี สะท้อนให้เห็นถึงระบบการบริหารจัดการ และคุณภาพในการจัดส่งสินค้าที่รวดเร็วสมกับคำว่า Delivery

9.เน้นการพัฒนา “คน” เป็นสำคัญ

คำว่า “คนงาน” ของ The PizzaCompany คือ “People Business” หมายถึงธุรกิจที่ต้องพึ่งพากำลังคน เราจึงเห็น The PizzaCompany” ได้ทำงานร่วมกับหน่วยงานภาครัฐ และโรงเรียนอาชีวศึกษา 150 โรงเรียน

พัฒนาหลักสูตรให้กับโรงเรียนอาชีวศึกษา ที่เปิดโอกาสให้นักเรียนอาชีวศึกษา เข้ามาเป็นพนักงานจริงในระหว่างที่กำลังศึกษา เพื่อพัฒนาทักษะในธุรกิจร้านอาหาร และเมื่อจบการศึกษา ก็สามารถกลับมาทำงานกับ The PizzaCompany ได้

10.คิดค้นเมนูใหม่เฉลี่ยปีละ 6 เมนู

หนึ่งในการแข่งขันคือความหลากหลายของเมนู สังเกตว่าทั้ง Pizza Hut และ The PizzaCompany ต่างมีเมนูอาหารอื่นๆ ที่นอกเหนือจากพิซซ่าเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งสลัด อาหารทานเล่น ของว่าง พาสต้า และเครื่องดื่มชนิดต่างๆ

นอกเหนือจากน้ำอัดลม ที่มีเกือบ 20 รายการ ความถี่ของการออกเมนูใหม่นั้น The PizzaCompany โดดเด่นกว่าคู่แข่งชัดเจนทุกๆ 8 สัปดาห์จะมีเมนูใหม่ เฉลี่ยปีละ 6 เมนู และยังมีเมนูอื่นๆ ที่นอกเหนือจากพิซซ่ารวมถึงไอศกรีมที่สร้างความแตกต่างได้อย่างชัดเจนด้วย

หากมองในภาพรวมการแข่งขันของ 2 แบรนด์ใหญ่ ผลดีจะตกอยู่กับผู้บริโภคที่จะได้สินค้าและบริการที่ดียิ่งขึ้น แต่ทั้งนี้ในอีกแง่มุมหนึ่งของคนที่กำลังคิดจะเข้ามาตีตลาดพิซซ่าก็เป็นการยากที่จะสอดแทรกตัวขึ้นมาแชร์ส่วนแบ่งการตลาดนี้ได้

ทางที่ดีคือการเปลี่ยนเป้าหมายไปจับกลุ่มลูกค้าในลำดับรองลงไป เจาะอีกตลาดที่ไม่ใช่สนามแข่งขันของ 2 แบรนด์นี้ เราจึงได้เห็นแฟรนไชส์ร้านพิซซ่าขนาดเล็กเกิดขึ้นจำนวนมาก แม้จะไม่ใช่แบรนด์ใหญ่แต่กำลังซื้อของคนในกลุ่มนี้ก็มีมากพอที่จะทำให้ธุรกิจประสบความสำเร็จได้เช่นกัน

บทความที่น่าสนใจ : pgslot-game